ไม่เหมือนกันของการสร้างสารกาแฟระหว่างแนวทางแฉะ VS แนวทางแห้ง
กาแฟหอมที่ถูกชงอย่างพะถีพิถันเพื่อได้รสที่พอดีแล้วก็หอมสูงที่สุด เว้นเสียแต่ความสามารถของเหล่านักประดิษฐ์อย่างบาริสต้าแล้ว รสของกาแฟยังขึ้นกับสาเหตุฯลฯ ตั้งแต่แหล่งเพาะปลูกไปจนกระทั่งแนวทางการผลิต “สารกาแฟ” ซึ่งหมายถึงกระบวนการทำเม็ดกาแฟดิบ ก่อนจะนำไปไปสู่แนวทางการบดถัดไป
ประสิทธิภาพสำหรับการทำเม็ดกาแฟดิบ
การสร้างเม็ดกาแฟดิบภายหลังการเก็บเกี่ยวหรือการให้ได้มาซึ่งสารกาแฟ เป็นขั้นตอนการเริ่มที่สามารถจะช่วยให้พวกเราได้ชิมรสชาติกาแฟที่มีความมากมายหลากหลาย อีกทั้งกลิ่น ความขม ไปจนกระทั่งรสอมเปรี้ยวต่างๆพวกนี้ ถ้าเป็นการผลิตที่มีคุณภาพก็จะได้เม็ดกาแฟดิบที่เพอร์เฟ็ค รสพอดี เมื่อนำไปไปสู่ขั้นตอนคั่วบดก็จะได้กากกาแฟที่มีความหอมอร่อยได้อย่างเต็มเปี่ยม
การสร้างด้วยแนวทางแฉะ (Wet method)
แนวทางการผลิตเม็ดกาแฟดิบด้วยแนวทางแฉะ จะใช้แนวทางข้างหลังเก็บเกี่ยวเม็ดกาแฟแล้ว ก็จะเข้าสู่กรรมวิธีการแยกเม็ดที่ไร้คุณภาพออกไป โดยนำเอาเม็ดทั้งผองที่เก็บได้มาแช่น้ำ ภายหลังได้เม็ดที่มีคุณภาพมากพอก็จะนำไปเข้าเครื่องในการปลอกเปลือกให้เร็วที่สุด ซึ่งไม่สมควรเกิน 1-2 วัน เพื่อปกป้องการเน่าข้างในเม็ด ทำให้เกิดการสูญเสียรสที่ดีไป
ภายหลังจากได้เม็ดกาแฟที่ผ่านการปลอกเปลือกเป็นที่เป็นระเบียบ ถัดมาเป็นการนำเอาเม็ดกลุ่มนี้ไปกำจัดเยื่อเมือกที่ติดอยู่ให้หลุดลอกออกไป โดยนำเม็ดกาแฟไปเทใส่บ่อปูนหรือถังพลาสติกที่มีความสะอาด ส่วนข้างล่างฐานจะมีท่อที่มีไว้สำหรับระบายน้ำเอาไว้ เพิ่มเติมเม็ดลงไปโดยประมาณ 3 ใน 4 ของถังใส่แล้วเพิ่มน้ำให้ท่วม ทิ้งไว้ราว 36-72 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ซึ่งช่วงเวลานี้ยังขึ้นกับจำพวกของเม็ดกาแฟ อุณหภูมิและก็สาเหตุโอบล้อมอื่นๆด้วย เอนไซม๋ในเม็ดจะถูกปล่อยออกมาและก็กำจัดเอาเยื่อเมือกส่วนนั้นออกไป เม็ดกาแฟที่ถึงที่กะไว้เมื่อสัมผัสจะไม่ลื่นมือ นำเอามาล้างชำระล้างอีกที แล้วแช่น้ำไม่ทิ้งไว้อีก 24 ชั่วโมง
นำเม็ดกาแฟที่ล้างสะอาด ชูออกมาตากผึ่งจนกว่าจะแห้ง ซึ่งจะได้เป็นเม็ดกาแฟที่เรียกว่า “กาแฟกะลา” กระจัดกระจายเม็ดกาแฟบนที่ตากไม่ให้ทับทับกันมากจนเกินไป เพื่อช่วยกำจัดความชุ่มชื้นออกมาจากเม็ดให้เยอะที่สุด ซึ่งโดยปกติจะเทรวมกันในระดับโดยประมาณ 1.5 นิ้วหรือ 3 นิ้ว รวมทั้งที่สำคัญต้องรอกลับเม็ดกาแฟเพื่อแห้งอย่างทั่วถึง ใช้เวลาสำหรับในการตากประมาณ1 อาทิตย์ ถ้าตากที่โล่งแจ้งให้ระวังความชุ่มชื้นจากอากาศในยามค่ำคืน ควรจะหาพลาสติกมาหุ้มคุ้มครองป้องกันด้วย
การตรวจดูกาแฟกะลา เป็นการทดสอบแกะกะลาภายนอกออกมอง แล้วก็ใช้เล็บจิกไปที่เม็ดภายใน ถ้าเกิดพบว่ามีความแข็งแรง ไม่มีรอยเล็บแล้วหลังจากนั้นก็จัดว่าแห้งเหมาะ แม้กระนั้นแม้จิกแล้วยังมีรอยยุบควรต้องทำตากถัดไปอีก ไม่อย่างนั้นเมื่อนำเข้าสู่ขั้นตอนการถัดไป เม็ดจะแตกรวมทั้งสูญเสียประสิทธิภาพได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าวกาแฟกะลาที่พร้อมแล้วจำเป็นต้องปราศจากความเหนียวเมื่อกัด หรือเปล่ามีรอยจิกของเล็บ
ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อกาแฟกะลาแห้งก็ดี เป็นการนำไปสีเอากะลาข้างนอกออกเพื่อเหลือแค่ส่วนของเม็ดภายใน แล้วต่อจากนั้นก็จะทำแยกขนาดของเม็ดกาแฟตามเกรดประสิทธิภาพกันถัดไป